เก่งภาษาอังกฤษด้วยการอ่านแปลออนไลน์ฟรี
Sunday, December 13, 2009
การแต่งกาย Dressing UP
People in ancient Egypt dressed in light linen clothing made from flax.
(คนในอียิปต์โบราณจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลินินบาง ๆที่ทำมาจากปอชนิดหนึ่ง)
Weavers used young plants to produce fine, almost see-through fabric for the wealthy, but most people wore garments of coarser texture.
(พวกช่างทอจะใช้ปอชนิดนี้ที่ยังต้นอ่อน ๆอยู่มาทอเป็นเส้นใยบางๆสำหรับคนทีมีฐานะมั่งคั่ง แต่คนส่วนใหญ่จะสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อที่หยาบกว่าพวกคนที่มีฐานะมั่งคั่ง)
The cloth was nearly always white.
(เสื้อผ้าจะใช้สีขาวเกือบจะทั้งหมด)
Pleats, held in place with stiffening starch, were the main form of decoration, but sometimes a pattern of loose threads was woven into the cloth.
(มีการตกแต่งเสื้อผ้าด้วยการทำจีบแล้วลงแป้งให้แข็ง แต่บางทีก็มีการเอาด้ายมาทอทำเป็นรูปแบบต่าง ๆติดไว้ตามเสื้อผ้าก็พอมีบ้าง)
Slaves or servants, who came from foreign lands, had dresses of patterned fabric.
(พวกทาสหรือพวกคนใช้ที่มาจากต่างแดนนั้นก็จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่มีลวดลาย)
Men dressed in loincloths, kilts and tunic-style shirts.
(พวกผู้ชายจะนุ่งผ้าเตี่ยวและใส่เสื้อคลุมแขน)
Women had simple, ankle- length sheath dresses with a shawl or cloak for cooler weather.
(พวกผู้หญิงใส่ผ้านุ่งธรรมดายาวคลุมถึงข้อเท้ากับมีผ้าคลุมไหล่หรือเสื้อนอกกันหนาวด้วย)
Children usually wore nothing at all.
(พวกเด็ก ๆปกติจะไม่สวมใส่อะไรเลย)
Men and women, rich and poor, owned jewellery and used make-up, especially eye paint.
(พวกผู้หญิงและผู้ชายทั้งรวยและจนจะนิยมใช้เครื่องประดับอัญมณี และนิยมแต่งหน้าโดยเฉพาะทาตา)
Everybody loved perfume and rubbed scented oils into their skin to protect it against the harsh desert winds.
(ทุกคนชอบใช้น้ำหอมและใช้น้ำมันหอม ๆมาทาตามผิวเพื่อป้องกันลมทะเลทรายที่พัดรุนแรงมาก)
การเขียนและการศึกษา Writing and Education
Ancient Egyptians used picture writing, called hieroglyphs, for inscriptions in the tombs and temples.
(ชาวอียิปต์โบราณใช้ตัวหนังสือรูปภาพที่เรียกว่า ไฮโรกลิฟส์ เพื่อจารึกไว้ในหลุมฝังศพและในวิหารต่าง ๆ)
Scribes would tell their sons that to be a scribe ‘’is greater than any other profession”.
(พวกนักจารึกจะบอกลูกชายของพวกตนว่า การเป็นนักจารึกมีความยิ่งใหญ่กว่าอาชีพอย่างอื่น)
Student scribes took up to ten years to memorise the several hundred hieroglyph signs.
(นักเรียนที่เรียนทางจารืกจะใช้เวลานานถึง 10 ปีจึงจะจดจำสัญลักษณ์ตัวหนังสือไฮโรกลิฟหลายร้อยตัวนี้ได้)
They also had lessons in astronomy, mathematics, astrology, practical arts and games and sports.
(พวกเขาก็ยังต้องศึกษาบทเรียนทางด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ โหราศาสตร์ ศิปละภาคปฏิบัติ ตลอดจนเกมกีฬาต่าง ๆ)
Classroom discipline was strict and teachers believed that ‘’ the ears of a boy are on the back. He listens only when he is beaten”.
(วินัยในห้องเรียนมีความเคร่งครัดมาก และพวกครูผู้สอนมีความเชื่อว่า ”หูของเด็กผู้ชายอยู่ที่ข้างหลัง เด็กจะเชื่อฟังเมื่อถูกตีแล้วเท่านั้น”
The boys who did not become scribes followed in their fathers’ footsteps, becoming perhaps farmers or carpenters.
(พวกเด็กผู้ชายที่ไม่เป็นนักจารึกตามรอยบิดาของพวกตน ก็จะเป็นชาวนาหรือไม่ก็เป็นช่างไม้)
Girls stayed at home and learnt music, dancing and housekeeping skills from their mothers.
(พวกเด็กผู้หญิงจะอยู่กับบ้าน เล่าเรียนการดนตรี การเต้นรำ และทักษะการดูแลบ้านจากแม่ของตัวเอง)
การรักษาโรคและไสยศาสตร์Healing and Magic
Doctors in ancient Egypt set broken bones with wooden sprints bound with plant fibres, dress wounds with oil and honey, and performed surgery with knives, forcepts and metal or wooden probes.
(พวกแพทย์ในอียิปต์โบราณจะใช้วิธีเข้าเฝือกที่แตกหักแล้วพันด้วยเนื้อเยื่อต้นไม้ มีการตกแด่งแผลด้วยการใช้น้ำมันและน้ำผึ้ง และทำการผ่าตัดด้วยมีด คีม และเครื่องหยั่งแผลทั้งที่เป็นโลหะและไม้)
They had cured for many diseases, some of which they thought were caused by worms such as the ‘’ hefet’’ worm in the stomach or the ‘’ fenet’’ worm that gnawed teeth.
(พวกเขารักษาโรคได้หลายอย่าง โรคบางอย่างพวกเขาคิดว่ามีสมุฏฐานมาจากพยาธิ ยกตัวอย่างพยาธิเฮเฟตที่อยู่ในท้อง หรือพยาธิเฟเนตที่แทะกินฟัน)
Physicians knew that the heart “spoke’’ through the pulse, but they also thought that it controlled everything that happened in the body, and all thoughts and feelings.(พวกแพทย์รู้ว่าหัวใจเต้นทางเส้นชีพจร แต่พวกเขาคิดว่าหัวใจควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย ตลอดจนถึงความคิดและความรู้สึกทุกอย่างด้วย)
They did not realise that the brain was important.
(พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่ามันสมองมีความสำคัญ)
Plant remedies were popular.
(การรักษาสมุนไพรก็เป็นที่นิยม)
Garlic was prescribed for snakebite, to gargle for sore throats and to soothe bruises.
(กระเทียมจะใช้ทาเมื่อถูกงูกัด ใช้กลั้วคอเวลาเจ็บคอ และใช้ทาที่รอยฟกช้ำ)
Doctors used a vulture’s quill to apply eyedrops containing celery juice.
(พวกแพทย์ใช้ขนนกแร้งจุ่มยาหยอดตาที่มีน้ำยาสมุนไพรหยอดตาผู้ป่วย)
When practical medical failed, physicians turned to magic.
(เมื่อใช้รักษาทางยารักษาแล้วล้มเหลว พวกแพทย์ก็จะหันเข้าไสยศาสตร์)
People wore amulets to ward off accident and sickness.
(คนจะสวมเครื่องรางของขลังเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและการเจ็บไข้ได้ป่วย)
They also thought some of the gods had healing powers.
(พวกเขาคิดว่ามีเทพบางองค์มีอานุภาพในการรักษาโรคได้ด้วย)
การประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ Making Things
Many of the objects that tell us how people lived in ancient Egypt were made by potters, stonemasons, carpenters, glassmakers, leatherworkers, metalworkers and jewellers.
(สิ่งของหลายอย่างที่บอกเราถึงวิถีชีวิตของคนในอียิปต์โบราณได้ถูกทำขึ้นมาโดยช่างปั้น ช่างหิน ช่างไม้ ช่างแก้ว ช่างหนัง ช่างโลหะ และช่างอัญมณี)
Most of the cloth made by spinners and weavers has perished, but we knew much about their work from friezes in the tombs.
(เสื้อผ้าส่วนใหญ่ที่ทำขึ้นมาโดยช่างปั่นด้ายและช่างทอผ้าได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว แต่เรารู้เกี่ยวกับงานเหล่านี้จากบรรดาภาพวาดที่อยู่ในหลุมฝังศพ)
The pharaohs kept whole villages of highly skilled craftspeople employed on building projects.
(กษัตริย์ฟาโรห์ทรงมีหมู่บ้านช่างฝีมือที่มีความชำชาญสูงมากที่ทรงจ้างไว้เพื่อทำงานในโครงการก่อสร้างต่าง ๆ)
Stone for temples, pyramids and statues was collected from the surrounding desert, and copper and gold were plentiful.
(หินที่ใช้สร้างวิหาร พระมิด และเทวรูปนั้น เก็บรวบรวมเอาได้จากทะเททรายรอบข้าง ส่วนทองแดงกับทองคำก็มีมากมาย)
Some materials had to be imported, particularly timber, ivory, and semi-precious stones such as lapis lazuli and turquoise.
(วัสดุบางอย่างต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ซุง งาช้าง อัญมณีกึ่งสำเร็จรูปจำพวกแก้วไพฑูรย์ และพลอยไพลิน เป็นต้น)
As the ancient Egyptians did not use money, workers received their wages in cloths, lodging, bread, onions and beer.
(ด้วยเหตุที่ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้ใช้เงินกัน พวกคนงานจึงได้รับค่าจ้างงในรูปของเสื้อผ้า ที่พักอาศัย ขนมปัง หัวหอม และเบียร์)
Craftspeople worked in communal workshops.
(พวกช่างฝีมือจะทำงานกันในโรงงานประจำชุมชน)
Everything they did was part of a team effort as they did not received special praise for their individual skills.
(ทุกสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นมานั้นเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของหมู่คณะ ทั้งนี้เพราะพวกเขาจะไม่ได้รับคำชมเชยเป็นพิเศษสำหรับความเชี่ยวชาญที่แต่ละบุคคลมีอยู่นั้น)
ศิลปินทำงาน Artists at Work
Ancient Egyptian paintings told stories about people’s lives and what they expected to happen to them after they died and met their gods.
(ภาพวาดต่าง ๆของชาวอียิปต์โบราณได้เล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของคนและสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้ว่าจะเกิดขึ้นกับพวกเขาหลังจากที่พวกเขาตายแล้วได้พบกับเทพต่าง ๆของพวกเขา)
Artists painted detailed scenes on houses, temple pillars and the vast walls of tombs, where well-organised teams worked by lamplight in difficult and stuffy conditions.
(พวกศิลปินจะวาดภาพบรรยายรายละเอียดไว้ในตามบ้าน ตามเสาวิหาร และตามกำแพงที่กว้างใหญ่ของที่ฝังศพ โดยที่มีการจัดทีมงานเป็นอย่างดีทำงานโดยอาศัยแสงตะเกียงในสภาวะที่ยากลำบากและอุดอู้)
They followed carefully prepared plans of what to paint, and strict rules about the way to show figures and objects.
(พวกเขาจะต้องเตรียมผังที่จะวาดเอาไว้ก่อนแล้วก็ค่อย ๆวาดไปตามผังนั้นอีกที และจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์การวาดรูปคนและวัตถุอย่างเคร่งครัด)
The outline scribes always drew important people larger than anyone else who appeared in the picture.
(รูปของบุคคลสำคัญมักจะวาดให้มีขนาดโตกว่าบุคคลอื่นใดที่ปรากฏอยู่ในภาพนั้นเสมอ)
Painters used pigments made from crushed rocks and minerals – green from powered malachite, red from iron oxide - which they mixed with egg white and gum arabic.
(พวกศิลปินจะใช้สีผงที่ทำมาจากหินและแร่ที่บดละเอียด คือสีเขียวเอามาจากแร่มาลาชิตบด ส่วนสีแดงเอามาจากออกไซด์เขาจะเอาของเหล่านี้ผสมเข้ากับไข่ขาวและยางไม้)
The colours in many of tombs and temples are still fresh and brilliant as when they were first brushed on the walls more than 5,000 years ago.
(สีสันของภาพต่าง ๆที่เขียนไว้ตามที่ฝั่งศพและตามวิหารต่าง ๆหลายแห่งจึงยังคงใหม่และมีความสดใสเหมือนเมื่อตอนที่พวกเขาวาดไว้ตามผนังเมื่อกว่า 5000 ปีมาแล้ว)
ขนบธรรมเนียมและประเพณี Feasts and Festivals
One hieroglyphic inscription says ‘’ be joyful and make merry ‘’.
(มีคำจารึกเป็นอักษรภาพมีข้อความว่า”จงสนุกและมีความสุขเถิด”
Wealthy people loved to invite friends to their homes to share great feasts.
(พวกคนมีฐานะมั่งคั่งจะชอบเชิญเพื่อน ๆไปเลี้ยงกันใหญ่โตที่บ้าน)
The food was plentiful and the wine flowed freely.
(มีการเลี้ยงอาหารมากมายและเสิร์ฟไวน์อย่างไม่อั้น)
The hosts hired storytellers, dancers and other entertainers.
(ฝ่ายเจ้าภาพจะไปว่าจ้างนักเล่านิทาน นักฟ้อนรำ และคณะสร้างความบันเทิงมาแสดงในงาน)
Ancient Egyptian musicians played many instruments including flutes, clarinets, oboes, lutes, harps, tambourines, cymbals and drums.
(พวกนักดนตรีของชาวอียิปต์โบราณจะเล่นเครื่องดนตรีหลายอย่าง ซึ่งรวมทั้งฟลุต คลาริเนต ออโบ ลุต ฮาร์ป ทัมบูริน ฉิ่งฉาบ และกลอง)
Poorer people enjoyed themselves on holidays for royal occasions such as the crowning of a pharaoh, and at yearly harvest and religious festivals.
(พวกคนจน ๆก็หาความสนุกสนานในวันหยุดเนื่องในวโรกาสต่าง ๆของกษัตริย์ฟาโรห์บ้าง ในประเพณีเก็บเกี่ยวบ้าง ในประเพณีทางศาสนาบ้าง)
Huge crowds gathered for a “ coming forth” when the statute of a god was carried in a procession outside the temple.
(จะมีคนจำนวนมากมายมารวมตัวกันเพื่อตั้งตาคอยชมตอนที่เทวรูปถูกนำเข้าขบวนแห่ออกมานอกวิหาร)
Music and acrobatic displays were part of these parades.
(จะมีการแสดงดนตรีและแสดงกายกรรมต่าง ๆเป็นส่วนหนึ่งของขบวนแห่นี้ด้วย)
People made bouquets, garlands and collars from fresh flowers for private banquets and public festivals.
(ผู้คนก็จะทำช่อดอกไม้ พวงดอกไม้ และพวงมาลัยคล้องคอจากดอกไม้สดไปในงานประเพณีที่ราษฎรจัดกันเองและในงานประเพณีที่หลวงจัดขึ้น)
การค้าและบรรณาการ Trade and Tribute
Ships sailed up and down the Nile loaded with goods to trade.
(มีเรือแล่นขึ้นแล่นล่องแม่น้ำไนล์บรรทุกสินค้ามาค้าขาย)
The pharaohs exchanged cereals, textiles, paper, dried fish, beads and luxury items for copper, spices, ebony, ivory, and incense from foreign lands.
(กษัตริย์ฟาโรห์จะทรงนำธัญพืช เสื้อผ้า กระดาษ ปลาแห้ง ลูกประคำ และสินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆแลกกับทองแดง เครื่องเทศ ไม้เนื้อแข็ง งาช้าง และเครื่องหอมจากต่างแดน)
Despite the wealth of ancient Egypt some things were unobtainable there.
(ถึงแม้ว่าอียิปต์โบราณจะมีความมั่งคั่ง แต่ก็มีบางอย่างหาไม่ได้)
Trees did not grow plentifully beside the Nile and building timber came from the cedars of Byblos (Lebanon) in the north.
(ต้นไม้ปลูกได้ไม่มากตามริมฝั่งแม่น้ำไนล์ จะต้องนำซุงไม้ที่จะใช้ในการก่อสร้างคือซุงไม้ซีดาร์จากไบบลอส(เลบานอน)ทางภาคเหนือ)
The pharaohs had access to all the produce of the African interior through trade links with the princes of Nubia who supplied gold, semi-precious stones and exotic animals.
(กษัตริย์ฟาโรห์ทรงได้ผลิตผลทุกอย่างจากดินแดนภายในทวีปแอฟริกา ผ่านทางการติดต่อค้าขายกับพวกเจ้าชายแห่งนูเบียโดยเจ้าชายเหล่านี้เป็นผู้จัดหาทองคำ อัญมณีกึ่งสำเร็จรูปและสัตว์แปลก ๆมาถวาย)
Egyptian traders crossed the Red Sea and travelled through the desert as far as the ancient lands of Cush and Punt in the south.
(พวกพ่อค้าอียิปต์จะข้ามทะเลแดงแล้วเดินทางผ่านทะเลทรายไปไกลจนถึงดินแดนโบราณ คือเมืองคุซและเมืองปุนต์ที่อยู่ทางภาคใต้)
Countries that had been defeated in war or wanted to be friendly to the pharaohs paid tribute in the form of expensive goods such as horses and wheeled chariots.(ประเทศต่าง ๆที่แพ้สงครามหือต้องการมีไมตรีกับกษัตริย์ฟาโรห์ก็จะส่งบรรณาการมาถวายในรูปของสินค้าราคาแพง ๆ อย่างเช่น ม้า และรถล้อเลื่อนต่าง ๆ)
Subscribe to:
Posts (Atom)